เรื่องเล่าของซองอู
Title : เรื่องเล่าของซองอู
Pairing : MinSeon
Genre : Horror Story
Warning... เนื้อหารุนแรงมากนะคะ คุณอาจจะจะสาปแช่งเรา
ที่ไหนมีวงเหล้า ที่นั่นก็ต้องมีเรื่องเล่า...
สวัสดีครับทุกคนที่รอฟังเรื่องเล่าเรื่องต่อไป อ่า... ถึงคิวของผมสักที ผมก็ไม่รู้นะว่าเรื่องของผมจะน่ากลัวสู้เรื่องของแดฮวีและควานลินได้ไหม
แต่สาบานได้เลยว่าตอนที่ผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นมันน่ากลัวเป็นบ้า...
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณหกปีก่อน ช่วงนั้นผมเพิ่งเริ่มเป็นเด็กฝึกงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ผมเข้าบริษัทไปพร้อมกับเพื่อนของผมคนหนึ่งชื่อว่ามินฮยอน มินฮยอนเป็นเพื่อนสนิทของผมทั้งที่มหาวิทยาลัยและที่ทำงาน เราไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กินข้าวด้วยกัน มีปัญหาอะไรก็มาปรึกษากันเสมอ
เรื่องน่ากลัวทั้งหมดมันเริ่มต้นมาจากความหล่อของไอ้มินฮยอนเพื่อนผมนี่เองแหละครับ....
ในบริษัทที่ผมและมินฮยอนทำงานอยู่เป็นบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่อยู่พอสมควร เอาเป็นว่าแค่เอ่ยชื่อคนทั้งประเทศคงจะต้องร้องอ๋อเลยล่ะ และในแผนกของผมกับมินฮยอนก็มีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง
ชื่อว่าพี่ซอนโฮ... พี่เขาเป็นคนเงียบและเก็บตัว ตอนกลางวันก็ชอบนั่งกินข้าวคนเดียว ไม่พูดไม่จากับใครนอกเหนือจากจะเป็นเรื่องงานพี่เขาถึงจะเปิดปากพูด และด้วยความเฟรนลี่จนเกินสมควรของมินฮยอนเพื่อนผม วันนั้นมันดันเข้าไปทักพี่ซอนโฮที่โรงอาหาร เท่านั้นยังไม่พอมันยังไปนั่งกินข้าวกับพี่เขา ชวนคุยซะเหมือนกับว่ารู้จักกันมาเป็นสิบปี
ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก มินฮยอนกับพี่ซอนโฮก็คุยกันไปตามประสาคนทำความรู้จักกัน ส่วนผมก็โซ้ยข้าวอย่างเดียว ไม่ได้สนใจบทสนทนาของคนทั้งคู่เท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนสองสามอาทิตย์ให้หลัง ผมสังเกตเห็นว่าพี่ซอนโฮมักจะมองมินฮยอนด้วยสายตาที่อ่อนโยนเป็นพิเศษ และก็เดาไม่ยากเลยว่าเขาคิดอะไรเพราะพี่เขาแสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาผ่านสายตาทั้งหมด
"พี่เคยมีแฟนมาแล้วกี่คน"
ผมเริ่มสนใจบทสนทนาของทั้งคู่เป็นครั้งแรก และนี่ก็เป็นธรรมดาของเพื่อนผมที่มักจะถามเรื่องนี้กับทุกคนที่รู้จัก เพราะมันแค่อยากรู้ว่าคนๆนั้นมีแฟนมากกว่าตัวเองหรือเปล่า ถ้ามากกว่ามันก็จะนอยด์ๆ แต่ถ้าน้อยกว่ามันก็จะพราวด์ในตัวเองไปเป็นอาทิตย์ เป็นความคิดเด็กๆของพวกที่คิดว่าตัวเองหล่อตลอดเวลาน่ะครับ
ครั้งนี้ก็คงเป็นอีกครั้งที่มันคงพราวด์ตัวเองไปนานเลยล่ะ
"มะ..ไม่เคยมี..."
"จริงดิพี่! บ้าหน่า หน้าตาพี่ออกจะน่ารักไม่มีได้ไงเนี่ย"
ไม่พูดเปล่า นอกจากจะชมว่าพี่เขาน่ารักแล้วมันยังเอาตะเกียบตัวเองไปเขี่ยๆกับตะเกียบของพี่ซอนโฮแบบแซวๆ อีกด้วย เป็นการละเล่นที่มนุษย์แฟนเขาทำกันชัดๆ
ส่วนพี่ซอนโฮ... พอจบจากบทสนทนาก่อนหน้านี้ที่บอกว่าไม่เคยมีแฟน ตอนนี้ทั้งหน้าทั้งหูของพี่เขาแดงไปหมดแล้ว เดาไม่ยากก็คงเขินไอ้ตัวดีเพื่อนผมอีกตามเคย
หลังจบมื้ออาหารมื้อนั้นเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบลากไอ้เพื่อนตัวดีของผมมาอบรมทันที
"กูเข้าใจนะที่มึงอัธยาศัยดีอ่ะ แต่กับทุกคนมันก็เกินไปมั้ยวะ"
"เป็นอะไรของมึงเนี่ย"
"กูว่าพี่ซอนโฮเขาเริ่มชอบมึงละนะ"
"ฮ่าๆ เพ้อเจ้อแล้วมึงอ่ะ"
ผมอยากจะแสกนภาพหัวใจหลายล้านดวงจากสายตาของพี่ซอนโฮเวลาที่มองมันมาปาใส่หน้ามันจริงๆ จะได้รู้สักที
"เรื่องเลิฟไลน์ในที่ทำงานกูว่ามันไม่เหมาะนะเว้ย กูรู้นิสัยมึงดีว่ามึงคิดอะไรอยู่"
"กูก็จัดการได้ตลอดมึงก็เห็น"
"เออกูรู้ แต่...แต่กูว่า... โว๊ะ! เอาเป็นว่าคราวนี้กูมีลางสังหรณ์อ่ะ"
"เอาน่า กูจัดการได้อยู่แล้ว"
มินฮยอนตบบ่าผมสองสามทีก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน ผมเลยได้แต่ตีอกชกหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดที่หยุดเพื่อนไม่ได้ เพราะไอ้นิสัยคบแบบได้แล้วเลิกของมินฮยอนน่ะอาจจะสร้างปัญหาเข้าสักวัน ถึงทุกครั้งที่ผ่านมาจะไม่เคยสร้างปัญหาก็ตามที แต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกว่ามินฮยอนต้องรับมือไม่ได้แน่ๆ
เพราะความน่ารักแบบแปลกๆของพี่ซอนโฮน่ะมันบอกผมแบบนั้น...
#เรื่องเล่าของซองอู
ไม่นานหลังจากที่ผมเตือนมินฮยอนไป ข่าวลือเรื่องเด็กฝึกงานมินฮยอนคบกับรุ่นพี่ซอนโฮก็เป็นข่าวเม้าส์ดังไปทั่วบริษัท หลายคนออกจะแปลกใจว่าทำไมคนที่ชอบเก็บตัวไม่ปฏิสัมพันธ์กับใครอย่างพี่ซอนโฮถึงยอมคบกับมินฮยอนได้ แต่บางคนก็ไม่ได้แปลกใจอะไรมากนักเพราะมินฮยอนเองก็ออกจะหล่อแถมดูดี ถ้าพี่ซอนโฮจะชอบก็คงไม่แปลก
"ถามจริง... มึงได้กับพี่ซอนโฮยัง?"
"สามครั้ง"
ผมรีบจัดการธุระส่วนตัวที่กำลังทำอยู่ให้เสร็จ จัดการรูดซิปกางเกงอย่างทุลักทุเลก่อนจะรีบตรงดิ่งไปที่อ่างล้างมือข้างๆมินฮยอน
"มึงไม่เคยมีอะไรกับใครเกินหนึ่งครั้งไม่ใช่หรอวะ"
"ก็พี่เขาน่ารัก"
พอได้ยินคำชมแบบนั้นออกมาจากปากมินฮยอน ผมรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาสามลูกออกไปได้ เพราะลางสังหรณ์ของผมอาจจะไม่เป็นจริง และบางทีมินฮยอนอาจจะ...
"นี่มึงจริงจังกับพี่ซอนโฮแล้วใช่ป่ะ"
"ฮ่าๆ นี่องซองอูมึงอย่ามาโลกสวย เรียกว่าติดใจดีกว่า"
ผมชกลมใส่หน้ามินฮยอนในกระจกระหว่างที่มันกำลังเดินออกจากห้องน้ำอย่างหน้าตาเฉย ความรู้สึกอยากบีบคอใครสักคนมันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ
แต่เพราะมัวใส่อารมณ์กับการล้างมือและกร่นด่าเพื่อนในใจ พอเสร็จธุระผมก็รีบออกจากห้องน้ำ จนทำให้ไม่ได้สังเกตประตูห้องน้ำห้องหนึ่งที่ปิดอยู่ตั้งแต่ที่ผมกับมินฮยอนเริ่มคุยกัน...
ช่วงบ่ายวันเดียวกันหลังจากปวดหัวเรื่องที่คุยกับมินฮยอนในห้องน้ำ ผมก็ต้องมาปวดหัวต่อกับเอกสารกองพะเนินที่สุมเต็มโต๊ะผมตอนนี้ ผิดกับไอ้เพื่อนรักที่นั่งขีดๆกาๆเอกสารไม่กี่แผ่นที่โต๊ะข้างๆ
"มินฮยอน..."
ความรู้สึกเย็นยะเยือกลอยมากระทบผิวผมจนขนตามร่างกายลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ ปากกาเจ้ากรรมที่อยู่ในมือผมหลุดร่วงลงพื้นข้างโต๊ะเพราะมือที่แข็งทื่อของผม ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่ซอนโฮที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะมินฮยอนพร้อมรอยยิ้มแข็งๆ แต่ถึงแม้ผมจะรู้สึกเย็นจนขนลุกแต่เหงื่อกลับไหลซึมตามขมับไปทั่ว
ความรู้สึกนี้แหละที่ทำให้ผมคิดว่ามินฮยอนน่ะ...รับมือกับพี่ซอนโฮไม่ไหวแน่ๆ
"อ้าวพี่ คิดถึงผมหรอครับมาถึงนี่เลย"
"อืม...คิดถึง"
"ฮ่าๆ ครับๆผมก็คิดถึงพี่ แต่ปกติพี่ไม่เคยเดินมานี่นา มีอะไรหรือเปล่าครับ"
ผมแอบฟังบทสนทนาเงียบๆ ไอ้มือผมที่หย่อนลงไปเพื่อหวังจะเก็บปากกาที่ข้างโต๊ะนั่นก็ไม่รู้ว่าจะสั่นทำไม
"พี่อยากชวนนายไปกินข้าวที่บ้านพี่...คืนนี้"
"เอ๋?.. ผมขอไปตั้งหลายครั้งแต่พี่ก็ไม่ยอม ทำไมคราวนี้ถึงมาชวนล่ะครับ"
"คืนนี้พี่อยากอยู่กับนายเงียบๆบ้างน่ะ"
ผมพอจะเข้าใจถ้าพี่ซอนโฮอยากอยู่เงียบๆ เพราะหอที่มินฮยอนพักอยู่ค่อนข้างจะเสียงดัง แต่อีกใจหนึ่งผมก็ไม่อยากให้มินฮยอนไปบ้านพี่ซอนโฮเลยจริงๆ มันมีบางอย่างบอกผมว่าอย่าให้มินฮยอนไป
"โอเคครับ เลิกงานแล้วเจอกัน"
พอมินฮยอนตอบตกลงพี่ซอนโฮก็ทำเพียงแค่ยิ้มแข็งๆเหมือนเดิมแล้วหันหลังเดินกลับไป ไม่มีอาการอื่นๆแต่อย่างใด นิ่งมาก...นิ่งซะจนผมขนลุกอีกครั้ง
เช้าวันต่อมาผมเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลอันใหญ่ที่ติดอยู่ในออฟฟิศ ก่อนจะกดโทรศัพท์ต่อสายหามินฮยอนเป็นครั้งที่หก เพราะสายโด่งป่านนี้มินฮยอนควรจะมาทำงานได้แล้วแต่ก็ยังไม่มา ในหัวของผมคิดแค่เพียงว่าเมื่อคืนมินฮยอนอาจจะจัดหนักจัดเต็มกับพี่ซอนโฮจนมาทำงานไม่ไหว เพราะวันนี้ก็ยังไม่เห็นพี่ซอนโฮมาทำงานเช่นกัน
จากหนึ่งวันเป็นสองวันจนผมทนไม่ไหว ไอ้ลางสังหรณ์ไม่ดีต่างๆที่ผมรู้สึกมาตลอดทำให้ผมดิ้นรนตามหาเพื่อนไปทั่วจนรู้ว่ามินฮยอนยังไม่ได้กลับมาจากบ้านพี่ซอนโฮเลยตั้งแต่วันนั้น...
#เรื่องเล่าของซองอู
ผมมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งที่ค่อนข้างโทรมเหมือนไม่ค่อยได้รับการดูแล ตัวบ้านตั้งอยู่ห่างจากระแวกที่มีคนอยู่อาศัยมากพอสมควร บรรยากาศรอบๆก็เงียบสงัดชวนให้หนาวเย็นเหมือนเวลาที่เจอพี่ซอนโฮไม่มีผิด ผมเอาแต่ยืนจดจ้องอยู่ที่ปุ่มกริ่งหน้าบ้านพักใหญ่ จนเมื่อมือบ้าๆของผมเลิกสั่นนั่นแหละผมถึงมีความกล้าอีกครั้ง
ผมตัดสินใจกดกริ่งและรอให้ใครสักคนออกมาเปิด แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีใครมาเปิดสักที ผมจึงถือวิสาสะเปิดประตูรั้วที่ไม่ได้ปิดอยู่ตั้งแต่แรกเข้าไป
ประตูของตัวบ้านที่เคาะแล้วเคาะอีกก็ไม่มีคนมา ผมจึงตัดสินใจลองวัดดวงลองบิดลูกบิดดู...ซึ่งสำเร็จมันไม่ได้ล็อก
ทันทีที่บานประตูเปิดออกกลิ่นเหม็นรุนแรงก็ตีเข้าจมูกจนผมต้องยกมือขึ้นปิดเอาไว้
ผมเดินสำรวจบ้านที่ดูเหมือนไม่มีใครอยู่มาหลายวันช้าๆ ทุกอย่างก็ดูปกติดีแต่ที่ไม่ปกติก็มีแค่กลิ่นเหม็นที่มาจากชั้นบนนี้แหละ...
ผมค่อยๆก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ เสียงพูดคุยที่แว่วเบาจนจับใจความไม่ได้ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆระหว่างที่ผมกำลังก้าวขึ้นบันได แสงไฟที่ลอดออกมาเพราะประตูที่ปิดไม่สนิทจากห้องๆหนึ่ง พร้อมกับเสียงพูดคุยที่เล็ดลอดมาด้วย
ผมคิดว่าเสียงพูดคุยมันมาจากห้องนั้นไม่ผิดแน่...
กลิ่นเหม็นที่รุนแรงขึ้นทุกทีๆทำให้ผมเริ่มใจไม่ดี และลางสังหรณ์ไม่ดีที่ผมกังวลมาตลอดมันเกิดขึ้นจริงๆ
ทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไปภาพสยดสยองของเพื่อนผมก็ทำให้ผมเข่าอ่อนจนล้มลงไปกองกับพื้น ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหวีดร้องของตัวเองและความพะอืดพะอมที่ตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ ถึงแม้สภาพจะแทบไม่เหลือเค้าว่าเป็นมินฮยอน แต่สำหรับผม...ร่างไร้วิญญาณที่อยู่บนเตียงนั้นคือมินฮยอนเพื่อนของผมแน่นอน ผมมั่นใจ
[บอกมาสิว่านายรักพี่]
เสียงจากวิดีโอที่ฉายอยู่ในทีวีกลางห้องดังขึ้นเรียกสติผมขึ้นมาอีกครั้ง ภาพที่ฉายอยู่เป็นพี่ซอนโฮนั่งถือกรรไกรตัดผ้าอันใหญ่อยู่ข้างๆมินฮยอนที่นอนราบอยู่บนเตียงและโดนมัดไว้ทั้งตัวแม้แต่นิ้วมือก็ยังกระดิกไม่ได้
[อย่าทำอะไรผมเลยนะพี่ ผมขอโทษ ผมขอโทษ]
[บอกสิว่านายจะอยู่กับพี่ตลอดไป]
มินฮยอนเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด พยายามดิ้นรนทั้งๆที่โดนมัดไว้อย่างนั้น สภาพที่เปลือยทั้งตัวยิ่งดิ้นเชือกก็ยิ่งรัดและเสียดสีกับผิวกายจนถลอกไปหมด เลือดสีแดงที่ไหลซิบอยู่ตามร่างกายและรอยบาดแผลต่างๆ ดูก็รู้ว่าต้องเจ็บแทบตายเลยล่ะ
[ทำไมนายไม่พูดล่ะ...ไม่อยากพูดอีกแล้วหรอ?]
[นายคงไม่อยากจะพูดจริงๆ... งั้นก็ไม่ต้องพูดอีกแล้วนะคนดีของพี่]
พูดจบพี่ซอนโฮก็บีบปากของมินฮยอนพร้อมกับง้างขากรรไกรตัดผ้าอันใหญ่ที่ถืออยู่...
ผมไม่สามารถทนดูภาพต่อจากนั้นได้ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมานขอมินฮยอนแม้ผมจะปิดหูทั้งสองข้างแต่มันก็ยังดังก้องเข้ามาอยู่ดี
ผมไม่ได้สนใจวิดีโอบ้าบอนั่นอีก เพราะสภาพร่างที่อยู่บนเตียงก็บอกทั้งหมดแล้วว่ามินฮยอนต้องเจอกับอะไรมาบ้าง อวัยวะหลายส่วนที่หายไปจากที่ที่มันควรอยู่ ลูกตาที่กลิ้งหล่นอยู่ข้างเตียง ฟันทุกซี่ที่หายไปจากช่องปากกลับไปกองอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง หู ลิ้น นิ้วมือนิ้วเท้ารวมไปถึงอวัยวะเพศ ทุกๆส่วนล้วนกระจัดกระจายอยู่รอบๆเตียง เหมือนเป็นการแยกชิ้นส่วนตุ๊กตาเล่นแล้วโยนเกลื่อนไปทั่วรอเวลาให้สักคนมาตามเก็บ
ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร้องไห้ออกมาอย่างหมดสภาพด้วยความเสียใจ ทำไมผมถึงไม่หยุดเพื่อนให้เร็วกว่านี้ ทำไมผมไม่ห้ามมินฮยอนตั้งแต่แรก ผมพยายามรวบรวมสติและคิดว่าต้องทำยังไงต่อ และผมก็คิดได้ว่าควรแจ้งตำรวจก่อน... ใช่ผมต้องแจ้งตำรวจ ผมพยายามควานหาโทรศัพท์ที่ผมถือมาด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำหล่นไปตอนไหน
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะหาโทรศัพท์ของผมเจอ วิดีโอที่กำลังเล่นอยู่ในทีวีก็ดับไปเหมือนกับว่ามีคนกดปิดมัน เมื่อหน้าจอทีวีดับลงเหลือแค่หน้าจอที่ดำสนิท เงาสะท้อนในจอที่ทำให้ผมกลัวสุดขีดก็ปรากฏขึ้น...
พร้อมกับความรู้สึกเย็นยะเยือกเหมือนทุกครั้งที่ผมเจอพี่ซอนโฮที่ด้านหลัง...
"ซองอู..."
...ผมบอกแล้วว่ามินฮยอนน่ะ รับมือไม่ไหวแน่ๆ
END
talk...
เรื่องหน้าใครจะฆ่าใครดี?
#ยูอาร์มินซอน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น